เครื่องเล่นจานเเม่เหล็ก
เป็นอุปกรณ์ที่บันทึกข้อมูลที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง ( Dtrect Access
Storage Device : DASD ) เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากทำให้การทำงานคล่องตัว
ทำงานได้หลายรูปแบบและมีรูปแบบให้ใช้หลากหลายเช่น การออนไลน์ , การสอบถาม หรือการประมวลผลแบบแบทต์ อุปกรณ์ชนิดนี้ได้แก่ จานแม่เหล็ก , ฮาร์ดดิสก์
, ฟรอปปี้ดิสก์
ซึ่งแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกัน
ในเรื่องของความจุ
การถ่ายโอนข้อมูล
การเคลื่อนย้ายหัวอ่าน
การเข้าถึงข้อมูลและกลไกการทำงาน
ของระบบ
ประเภทของจานแม่เหล็ก
ถ้าแบ่งตามโครงสร้างจะสามารถแบ่งได้เป็น
2 แบบคือ
1) แผ่นจานแม่เหล็กแข็ง ( hard
disk )
2) แผ่นจานแม่เหล็กอ่อน ( floppy disk หรือ diskette )
จานแม่เหล็กแข็ง
คือแผ่นจานแม่เหล็กโลหะที่ติดตั้งอยู่ภายในเครื่องอ่าน / เขียน ( disk drive ) ไม่สามารถทำการถอดเปลี่ยนจานได้ ( non – removable disk )
แบ่งได้ดังนี้
1. ชุดแผ่นจานแม่เหล็กแข็งขนาดใหญ่ ( disk
pack ) คือชุดแผ่นจานแม่เหล็กโลหะ บรรจุรวมไว้ในกระบอกเดียวกัน ( disk
pack ) จานแม่เหล็กแต่ละแผ่นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 14
นิ้ว
ในแต่ละชุดอาจประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กตั้งแต่ 3
ถึง 11 แผ่น สามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ 8
MB ขึ้นไป
ซึ่งจานแม่เหล็กชนิดนี้ใช้กับคอมพิวเตอร์ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
2. ชุดจานแม่เหล็กแข็งขนาดเล็ก ( hard
disk ) คือส่วนเก็บข้อมูลที่ประกอบด้วยชุดจานแม่เหล็กขนาดเล็ก คล้ายกับชุดจานแม่เหล็กแข็งขนาดใหญ่ แต่มีขนาดและจำนวนน้อยกว่า มีขนาดแผ่นจานแม่เหล็กประมาณ 3.5 – 5.25 นิ้ว ส่วนมากใช้ในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
จานแม่เหล็กอ่อน
คือ สร้างจากสารประกอบ polyester เป็นแผ่น mylar
บาง ๆ น้ำหนักเบา
และอ่อนตัวได้ เคลือบด้วยสารที่ไวต่ออำนาจแม่เหล็ก ( magnetic layer )
ทั้งสองด้านลักษณะของแผ่นจะเป็นแผ่นจานแม่เหล็กอ่อน ๆ ( floppy disk )
บรรจุไว้ในซองพลาสติก ( jacket ) ดังนั้นจึเรียกว่าแผ่นดิสค์เก็ต ( disketty มาจาก Didk + jacket )
จานแม่เหล็กแข็ง
จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก
( disk pack ) ซึ่งเป็นแผ่นอลูมิเนียมแข็งซ้อนกันอยู่และฉาบด้วยสายแม่เหล็ก
( metal – oxide ) ที่สามารถทำให้เกิดสนามแม่เหล็กได้โดยแต่ละแผ่นถูกยึดด้วยแกนกลาง
ที่ผิวของแต่ละแผ่นมีลักษณะเป็นวงซ้อนกันอยู่เรียกว่า แทรก ( track ) โดยแต่ละแผ่นจะมีประมาณ 200 – 800 แทรกต่อผิวจาน เช่น
การกำหนดหมายเลขสำหรับแผ่นที่มี 200 แทรก จะกำหนดหมายเลข ที่อยู่แทรกนอกสุดเป็น 0
แทรกถัดไปเท่ากับ 1 ตามลำดับสำหรับแทรกวงในสุดมีหมายเลขเป็น 199
กลุ่มของแทรกที่มีหมายเลขเดียวกันเรียกว่า ไซลินเดอร์ ( cylinder ) แต่ละไซลินเดอร์จะมีจำนวนแทรกเท่ากับส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูล ในการบันทึกข้อมูลจะบันทึกตามไซลินเดอร์ ทำให้ลดเวลาการถ่ายโอนข้อมูลลง เพราะไม่ต้องเสียเวลาเลื่อนตำแหน่งหัวอ่าน /
บันทึกข้อมูล
ในแต่ละแทรกจะแบ่งออกเป็นหน่วยที่เล็กลงไปอีกเรียกว่า เซกเตอร์ ( sector ) ซึ่งเป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่เล็กที่สุด
บนแผ่นจานแม่เหล็กที่สามารถกำหนดตำแหน่งที่อยู่ได้ โดยแต่ละเซกเตอร์ สามารถบรรจุข้อมูลได้ 128 , 256 หรือ 512 , 1024 ไบต์ ขึ้นอยู่กับการผลิต
การบันทึกข้อมูล
การบันทึกข้อมูลจะบันทึกลงในลักษณะที่เป็นจุดเล็ก ๆ ตามแทรกต่าง ๆ
ในการบันทึกข้อมูลจะทำการแบ่งเป็นแทรกให้เป็นบล็อก แบบเดียวกับเทปแม่เหล็ก โดยในแต่ละแทรกจะมีประมาณ 10 – 16 บล็อก
โดยทั่วไปการแบ่งเป็นบล็อกจะถูกจัดการในเชิงฮาร์ดแวร์ ในลักษณะของเซกเตอร์ ซึ่งเรียกว่า
hard sectoring ส่วนการตัดโดยซอฟต์แวร์เรียกว่า soft
sectoring
![]() |
|||||||
![]() |
![]() |
![]() |
TRACK SECTOR TRACK + SECTOR
การอ้างอิงถึงตำ แน่งของข้อมูล มี 2 วิธี
1) Cylinder
mehtod ต้องระบุ Cylinder , Surface number , record number
Cylinder number
: หมายเลขแทรกที่ตรงกันของดิสก์แต่ละแผ่น
Surfac number
: หมายเลขหน้าของแต่ละแผ่นในดิสก์
Record number
: หมายเลขเรคอร์ดในแต่ละหน้า
2) Sector
method ระบุ sector
number เท่านั้น
ในการแบ่ง sector ในแต่ละหน้าจะไม่ให้ sector
number ซ้ำกัน
เวลาในการเข้าถึงข้อมูลของจานแม่เหล็กแข็ง ประกอบด้วยเวลาในการทำงานดังนี้
1) เวลาแสวงหา ( seek time )
เป็นเวลาที่หัวอ่าน / บันทึก
ทำการเร่งความเร็วสู่ความปกติผ่านไปยังไซเลนเดอร์ต่าง ๆ จนถึง ไซเลนเดอร์ที่ต้องการ และลดความเร็วลงจนหยุดนิ่ง โดยเวลาแสวงหานี้ขึ้นอยู่กับ


2) เวลาการเลือกหัวอ่าน ( R /
W head
selection ) เมื่ออยู่ที่ไซเลนเดอร์ที่ต้องการแล้วจะทำการอ่านข้อมูล จะต้องทำการเลือกหัวอ่าน / บันทึก บนแทรกที่ต้องการ ซึ่งเวลานี้จะใช้เวลาน้อยมาก
3)
เวลาที่รอให้ข้อมูลหมุนมาอยู่ตรงหัวอ่าน ( rotational delay )
เป็นเวลาที่ข้อมูลที่ต้องการเวียนมาอยู่ในตำแหน่งของหัวอ่าน
โดยเฉลี่ยแล้วเท่ากับครึ่งหนึ่งของเวลาในการหมุน 1
รอบของเครื่องขับจาน
4)
เวลาการถ่ายโอนข้อมูล
( transfer rate ) เป็นเวลาที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลจากจานแม่เหล็กไปยังหน่วยความจำ
โดยเวลาในการทำงานขึ้นอยู่กับ
ความหนาแน่นของการบันทึกข้อมูล
ความเร็วในการหมุน
ความยาวของเรคอร์ด
วิธีการเข้าถึงข้อมูลของเครื่องขับจานแม่เหล็กแข็ง มีการทำงาน 2
อย่างคือ
1) หัวอ่านเคลื่อนที่ ( movable head
disk access ) จะมี 1
หัวอ่าน / บันทึก ต่อ 1 เซอร์เฟสสำหรับการอ่านข้อมูลแต่ละเรคอร์ดใน disk
pack ทำดังนี้
1.
disk controller ถอดรหัสตำแหน่งของ เรคอร์ด
ที่ต้องการ
และระบุแทรกที่ต้องการ
ซึ่งเวลานี้คือ head selection
time
2.
ทำการเคลื่อนย้านหัวอ่าน / บันทึก ไปอยู่ใน
ไซเลนเดอร์ที่ต้องการ
ซึ่งเป็นเวลา seek time
3.
แผ่นดิสค์จะหมุนเพื่อให้ข้อมูลในเรคอร์ดที่ต้องการ ไปอยู่ตรงหัวอ่าน / บันทึก ซึ่งเป็นเวลา rotational
delay
4.
ทำการอ่านข้อมูลและทำการถ่ายโอนข้อมูลผ่านแชนแนล ( channel ) ไปยังโปรแกรมที่เรียกใช้ซึ่งเป็นเวลา transfer time
2) หัวอ่านอยู่กับที่ ( fixed head
disk access ) จะมี 1
หัวอ่าน / บันทึก ต่อ 1 แทร็ก ในการอ่านข้อมูลจึงไม่ต้องเสียเวลา seek
time ดังนั้นจึงใช้เวลาดังนี้
1.
disk controller ถอดรหัสตำแหน่งของ เรคอร์ด
ที่ต้องการ
และระบุแทรกที่ต้องการซึ่งเวลานี้คือ
head selection time
2.
แผ่นดิสค์จะหมุนเพื่อให้ข้อมูลในเรคอร์ดที่ต้องการ ไปอยู่ตรงหัวอ่าน / บันทึก ซึ่งเป็นเวลา
rotational delay
ทำการอ่านข้อมูลและทำการถ่ายโอนข้อมูลผ่านแชนแนล ( channel ) ไปยังโปรแกรมที่เรียกใช้ ซึ่งเป็นเวลา
transfer time
แผ่นจานแม่เหล็กอ่อน
ในการใช้งานแผ่นจานแม่เหล็กอ่อนหรือแผ่นดิสค์เก็ตจะต้องมีเครื่องอ่าน
/ เขียนข้อมูล
( disk drive ) เพราะแผ่นดิสค์เก็ตทำหน้าที่เก็บข้อมูล ส่วนเครื่องอ่าน / เขียนข้อมูล
เป็นกลไกลในการทำงานเพื่อให้ข้อมูลบันทึกลงบนแผ่นดิสค์เก็ต
หรืออ่านข้อมูลที่บันทึกไว้ในแผ่นดิสค์เก็ตมาใช้งาน ในการใช้งานจึงมีอิสระในการเปลี่ยนแผ่นดิสค์เก็ตที่จะช้เก็บข้อมูล แต่ต้องใช้คู่กับดิสค์ไดร์ฟเสมอ แผ่นดิสค์เก็ตที่ใช้อยู่มี 3
ขนาด คือ
Ø
ขนาด 8
นิ้ว มีความจุประมาณ 250 –
500 กิโลไบต์
Ø
ขนาด 5.25
นิ้ว มีความจุ 1.22
เมกะไบต์
Ø
ขนาด 3.50
นิ้ว มีความจุ 1.44
เมกะไบต์
การนบันทึกข้อมูล
ในการบันทึกข้อมูลของแผ่นดิสค์เก็ต
เครื่องอ่าน / เขียนข้อมูล จะเป็นตัวทำงาน
โดยบังคับให้จานอ่านแม่เหล็กหมุ่นจากด้านซ้ายไปด้านขวา ด้วยความเร็วประมาณ 300
รอบต่อนาที (
round per minute
: rpm ) เวลาที่ใช้ในการอ่านข้อมูลประกิบด้วย เวลาในการค้นหาข้อมูลเวลาเลื่อนหัวอ่าน /
เขียน เวลาหมุนแผ่นจาน เวลาในการเคลื่อนย้ายข้อมูล
โดยทั่วไปแล้วความเร็วของการทำงานมีค่าประมาณ 25 / 1000 วินาที ( 25 mS )
การบันทึกข้อมูลของแผ่นดิสค์เก็ต
จะบันทึกได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับโครงสร้างของแผ่นดิสค์เก็ต และความเข้มของออกไซค์ของโลหะที่เคลือบบนจานแม่เหล็ก ซึ่งมีการเคลือบด้วยความเข้มปกติ ( double density
: DD ) และเคลือบด้วยความเข้มสูง ( high
density : HD )
แผ่นจานแม่เหล็กจะถูกแบ่งเป็น แทร็กและเซกเตอร์ ในการบันทึกข้อมูลทุกเซกเตอร์ จะมีความสามารถในการบันทึกข้อมูลได้เท่ากัน ดังนั้นถ้ามองถึงโครงสร้างแล้ว
แทรกที่อยู่ด้านในสุดของแผ่นดิสค์เก็ตจะมีพื้นที่ผิวที่น้อยมาก
ดังนั้นบริเวณนี้จึงถึงเคลือบด้วยสารแม่เหล็กที่มีความหนาแน่นจำนวนมากตามลำดับ จากแทรกในไปยังแทรกข้างนอก
เพื่อให้มีแผ่นดิสเก็ตสามารถบันทึกข้อมูลได้เท่ากันทุกแทรก ตามปกติแล้วไม่นิยมเคลือบผิวให้มีความเข้มต่างกัน ดังนั้นจึงทำการเคลือบผิวด้วยความเข้มปกติ 2
ครั้ง
ลักษณะทางกายภาพ
แผ่นจานแม่เหล็กฉาบด้วยสารแม่เหล็กที่ผิวมีหลายๆวงซึ่งเรียกว่าแทรค
(track) ประมาณ 200-800 แทรคต่อผิวจาน
กำหนดหมายเลขที่อยู่ให้แทรควงนอกสุดเท่ากับ 0
แทรคถัดไปเท่ากับ 1 ตามลำดับไปเรื่อยๆ
และวงในสุดมีหมายเลขที่อยู่เท่ากับ 199 (สำหรับแผ่นจานที่มี 200
แทรค) สำหรับบางระบบ
อาจแบ่งแต่ละแทรคออกเป็นหน่วยที่เล็กลงไปอีกเรียก เซกเตอร์ (sector) ซึ่งเป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่เล็กที่สุดบนจานที่สามารถกำหนดตำแหน่งที่อยู่ได้
โดยปกติความจุของแต่ละเซกเตอร์ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตอาจมี 128 ไบต์ หรือ 256 ไบต์ต่อเซกเตอร์จานแม่เหล็กหลายๆแผ่นวางซ้อนกันเรียกว่าชุดจานแม่เหล็ก
โดยที่แผ่นจานทุกๆด้านจะมีจำนวนแทรคเท่ากัน และมีหมายเลขที่อยู่เหมือนกัน
เราสามารถบันทึกข้อมูลบนด้านทั้งสองของแผ่นจาน
ยกเว้นด้านบนสุดและด้านล่างสุดของชุดจานแม่เหล็ก เพราะเป็นส่วนที่ถูกทำลายได้ง่าย
สมมติว่าแผ่นจานของชุดจานแม่เหล็กมีอยู่ 10 แผ่น
จะบันทึกข้อมูลได้เพียง 18 ด้านเท่านั้นCylinder คือกลุ่มของแทรคหมายเลขเดียวกัน ชุดจานแม่เหล็กแต่ละชุดมีจำนวน cylinder
เท่ากับจำนวนแทรค แต่ละ cylinder จะมีจำนวนแทรคเท่ากับจำนวนด้านที่ใช้บันทึกข้อมูล
การบันทึกข้อมูลตาม cylinder ใช้เวลาถ่ายทอดข้อมูลน้อยกว่า
เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาเลื่อนหัวอ่าน/บันทึกข้อมูลเครื่องขับจานแม่เหล็กมีหลายชนิด
ดังนี้
1. เครื่องขับจานแบบหัวอ่านอยู่กับที่ (fixed head disk drive) เป็นชนิดที่มีแผ่นจานติดอยู่กับตัวเครื่อง และมีหัวอ่าน/บันทึกทุกๆแทรค ไม่มี seek time ดังนั้นจึงมีความเร็วในการถ่ายทอดข้อมูลสูงมาก
เหมาะสำหรับเก็บซอฟต์แวร์ระบบงานที่ต้องการความรวดเร็ว
2. เครื่องขับจานแบบหัวอ่านเคลื่อนที่ (moving head disk drive) ชนิดนี้มีหัวอ่าน/บันทึก 1 ชุดต่อผิวจาน
1 ด้าน ราคาถูกกว่าแบบแรก
เราสามารถเอาแผ่นจานแม่เหล็กออกจากตัวเครื่องได้
เหมาะสำหรับเก็บซอฟต์แวร์ประยุกต์และข้อมูลทั่วไป
3. เครื่องขับจานแบบวินเชสเตอร์ (winchester disk drive) ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้จานแม่เหล็กมีความจุเพิ่มขึ้นอีก 6-10 เท่าและความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้น
จานแม่เหล็กที่ใช้เทคโนโลยีจะถูกเก็บมิดอยู่ภายในตัวเครื่องเอาออกมาไม่ได้เพื่อรักษาให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา
แผ่นจานทำด้วยอะลูมิเนียมฉาบด้วยสาร ferric oxide
เนื่องจากความหนาแน่นในการบันทึกข้อมูลจานแม่เหล็กขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างหัวอ่าน/บันทึกกับผิวจาน ถ้าระยะห่างยิ่งน้อยความจุจะยิ่งมาก
นอกจากนี้การใช้จานแม่เหล็กทั่วไป เรามักจะประสบปัญหาหัวอ่าน/บันทึกกระแทกผิวจาน ทำให้ข้อมูลบางส่วนสูญหายไปหรือทำให้แผ่นจานใช้ไม่ได้
แต่เครื่องแบบนี้ใช้หัวอ่าน/บันทึกที่มีน้ำหนักเบาเวลาที่ใช้ในการอ่าน/บันทึกข้อมูล (access time) บนจานแม่เหล็กขึ้นอยู่กับ
1. เวลาเสาะหา (seek time) คือเวลาที่ head
assembly เร่งความเร็วสู่ความเร็วปกติผ่าน cylinder ต่างๆไปยัง cylinder ที่ต้องการ
แล้วลดความเร็วลงจนหยุดปกติ เวลาเสาะหานี้ขึ้นอยู่กับระยะระหว่างตำแหน่งปัจจุบันของหัวอ่าน/บันทึกกับตำแหน่งของ cylinder ที่ต้องการ
2. การเลือกหัวอ่าน/บันทึก (R/W head selection)
เมื่อ head assembly ไปยัง cylinder ที่ต้องการแล้ว ต้องมาเลือกหัวอ่าน/บันทึกบนแทรคที่ต้องการซึ่งใช้เวลาเลือกน้อยมาก
ในกรณีที่มีแผ่นจานเพียงแผ่นเดียว ไม่ต้องเสียเวลาในการเลือก
3. ความล่าช้าของการหมุน (rotation delay) เวลาที่ข้อมูลที่ต้องการเวียนมาอยู่ในตำแหน่งของหัวอ่าน/บันทึก เวลาโดยเฉลี่ยเท่ากับครึ่งหนึ่งของเวลาหมุน 1 รอบ
4. อัตราการถ่ายทอดข้อมูล (transfer rate) เวลาถ่ายทอดข้อมูลจากแผ่นจานแม่เหล็กไปยังหน่วยความจำขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของการบันทึกข้อมูล,
ความเร็วในการหมุนและความยาวของระเบียน
เวลาการเข้าถึงของจานแม่เหล็กสามารถคำนวณได้ดังนี้
access time = เวลาเสาะหา
(seek time) + เวลาที่ใช้ในการเลือกหัวอ่าน/บันทึก (R/W head selection time) + เวลาของความล่าช้าของการหมุน
(rotation delay time) + เวลาในการถ่ายทอดข้อมูล (transfer
time)
ตัวอย่าง การคำนวณเวลาที่ใช้ในการอ่าน/บันทึก ข้อมูล กำหนดให้ seek time 60.0 ms. Rotation time 12.5 ms.
Transfer rate 250 ตัวอักษร/ms.
ถ้าข้อมูลที่จะอ่านยาว
1000 ตัวอักษร เวลาที่จะใช้เท่ากับ
seek time 60.0 ms.
Rotation time 12.5 ms.
Read 4.0 ms. (คำนวณจาก
transfer rate 1000/250 = 4 ms.)
เวลาที่ใช้ในการอ่านทั้งหมด
76.5 ms.
ถ้าเป็นการ
update ใช้เวลาในการบันทึกสู่ตำแหน่งเดิมเท่ากับ
seek time 0.0 ms. (ไม่ต้องเสาะหา
cylinder)
Rotation time 12.5 ms.
Read 4.0 ms. (คำนวณจาก
transfer rate 1000/250 = 4 ms.)
เวลาที่ใช้ในการ update
16.5 ms.
เวลาทั้งหมดในการ
update = 76.5 + 16.5 = 93.0 ms.
ข้อดีและข้อเสียของการใช้จานแม่เหล็ก
ข้อดี
1. อัตราความเร็วในการถ่ายทอดข้อมูลสูงกว่าเทปแม่เหล็ก
2. สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งแบบลำดับ
และโดยตรงหรือแบบสุ่ม
3. การจัดระบบแฟ้มข้อมูลทำได้หลายรูปแบบเช่น
แฟ้มสุ่มและแฟ้มลำดับเชิงดัชนี
4. ผู้ใช้หลายคนสามารถเข้าถึงข้อมูลพร้อมกันได้
5. ข้อมูลที่เก็บทันสมัย
6. ทำการประมวลผลแบบออนไลน์ได้
ข้อเสีย
1. ถ้านำมาใช้เป็น offline
storage หรือแฟ้มข้อมูลสำรองแล้วจะมีค่าใช้จ่ายมี่มากกว่าเทปแม่เหล็ก
2. ข้อมูลหลังการปรับปรุงจะหายไป
ทำให้ระบบการสำรองความปลอดภัยของข้อมูลทำได้ยาก
ข้อดีของการใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์
-ราคาถูก
- การใช้งานง่าย สะดวก
- สามารถบันทึกข้อมูลซ้ำได้หลายครั้ง
-ราคาถูก
- การใช้งานง่าย สะดวก
- สามารถบันทึกข้อมูลซ้ำได้หลายครั้ง
ข้อเสีย
- หักหรืองอได้ง่าย ถ้ามีของหนักๆ ทับ
- ข้อมูลอาจสูญหาย หรือเสียได้ถ้าตัวแผ่นโดน ฝุ่น น้ำ หรือ
- ข้อมูลอาจสูญหายหรือผิดเพี้ยนได้ ถ้านำไปวางที่ที่มีสนามแม่เหล็ก
- หักหรืองอได้ง่าย ถ้ามีของหนักๆ ทับ
- ข้อมูลอาจสูญหาย หรือเสียได้ถ้าตัวแผ่นโดน ฝุ่น น้ำ หรือ
- ข้อมูลอาจสูญหายหรือผิดเพี้ยนได้ ถ้านำไปวางที่ที่มีสนามแม่เหล็ก
2.จานแม่เหล็กแบบแข็ง
( Magnetic Disk or Hard Disk) เครื่องมินิคอมพิวเตอร์หรือใหญ่กว่า
จำเป็นต้องมีสื่อบันทึกข้อมูลที่มีความสามารถบันทึกข้อมูล ได้มากว่าฟล็อปปี้ดิสก์
จานบันทึกข้อมูลนิดนี้เรียกว่า ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) หรือ
จานแข็ง ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก สารที่นำมาผลิตนั้น
เป็นสารจำพวกโลหะหรือแก้วบางชนิด ซึ่งไม่สามารถงอไปมาได้เหมือนกับ ฟลอปปี้ดิสก์
ในระบบไมโครคอมพิวเตอร์หลายระบบ ได้ขยายขีดจำกัดในฮาร์ดดิสก์
จนสามารถใช้หน่วยความความจำเป็นฮาร์ดดิสก์นี้ได้ หน่วยความจำในฮาร์ดดิสก์นี้
จะอยู่ในเทอมของ
M (Megabyte) (1 M =1,048,576 byte) หรือ G (Gigabyte) ( 1 G =1,073,741,824 byte หรือประมาณ 1000 ล้านไบท์)
M (Megabyte) (1 M =1,048,576 byte) หรือ G (Gigabyte) ( 1 G =1,073,741,824 byte หรือประมาณ 1000 ล้านไบท์)
คุณสมบัติที่ใช้งานจะมีอยู่ 2 ประเภท
1.Removable disk pack สามารถหยิบ Disk pack ออกจากตู้ได้
2.Fixed disk pack เป็น Disk ที่ต้องติดอยู่กับเครื่องตลอด ถอกออกมาไม่ได้เพราะต้องใส่ Software ที่
1.Removable disk pack สามารถหยิบ Disk pack ออกจากตู้ได้
2.Fixed disk pack เป็น Disk ที่ต้องติดอยู่กับเครื่องตลอด ถอกออกมาไม่ได้เพราะต้องใส่ Software ที่
จำเป็นสำหรับเครื่องเช่น OS , Compiler
โครงสร้างของฮาร์ดดิสก์
ประกอบด้วยตัวจานหรือดิสก์ ซึ่งเป็นแผ่นกลมแบบหลายๆ แผ่น วางซ้อนกันอยู่ บางจานถูกเรียงซ้อนกันเรียกว่า ชุดจานแม่เหล็ก (Disk pack) โดยอาจมีจำนวนแผ่น 3-11 แผ่น แต่จะไม่เรียกว่าดิสก์จะเรียกว่า แพลตเตอร์ (Platter) โดยที่แต่ละแพลตเตอร์จะสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสองด้าน เนื่องจากฮาร์ดดิสก์มีแพลตเตอร์หลายๆ แผ่นซ้อนกันอยู่ ดังนั้น ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งๆ จะมีหัวอ่านเขียนเท่ากับจำนวนแพลตเตอร์พอดี และหัวอ่านเขียนจะมีการเคลื่อนที่เข้าออกพร้อมกัน แต่เมื่อจำทำการอ่าน หรือเขียนข้อมูล ก็จะมีเพียงหัวอ่านเดียวเท่านั้นที่ทำการอ่านหรือเขียนข้อมูล ฮาร์ดดิสก์จะหมุนด้วยความเร็วคงที่ตลอดเวลา เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ต้องการช่วงเวลา ที่แน่นอนในการที่หัวอ่าน-เขียนจะอ่านผ่านแพลตเตอร์แต่ละรอบ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แต่ก็มีข้อเสียคือ ทำให้มีการใช้กระแสไฟฟ้ามาก และหากมีการขยับเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจทำให้หัวอ่าน-เขียนกระทบกับแพลตเตอร์ ได้ซึ่งจะทำให้ข้อมูลที่เก็บอยู่ในตำแหน่งนั้นถูกทำลายลงการคำนวณหา ความจุของฮาร์ดดิสก์สามารถคำนวณได้ โดยดูจากจำนวนแพลตเตอร์ จำนวน Track ซึ่งโดยปกติจะใช้จำนวน Cylinder แทนฮาร์ดดิสก์โดยปกติจะแบ่งให้Cylinder ซึ่งมี 17 Sector แต่ละ Sector มีขนาด 512 byte ถ้ามี 2 แพลตเตอร์ ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ 2 ด้าน แต่ละด้านแบ่งเป็น 305 cylinder ดังนั้น ความจุฮาร์ดดิสก์ = จำนวน Cylinder x จำนวน Sector x จำนวนด้าน x จำนวน byte ใน 1 sector
= 305 cylinder x 17 sector x 4 side x 512 byte
= 10,370 k
= 10 M
โครงสร้างของฮาร์ดดิสก์
ประกอบด้วยตัวจานหรือดิสก์ ซึ่งเป็นแผ่นกลมแบบหลายๆ แผ่น วางซ้อนกันอยู่ บางจานถูกเรียงซ้อนกันเรียกว่า ชุดจานแม่เหล็ก (Disk pack) โดยอาจมีจำนวนแผ่น 3-11 แผ่น แต่จะไม่เรียกว่าดิสก์จะเรียกว่า แพลตเตอร์ (Platter) โดยที่แต่ละแพลตเตอร์จะสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสองด้าน เนื่องจากฮาร์ดดิสก์มีแพลตเตอร์หลายๆ แผ่นซ้อนกันอยู่ ดังนั้น ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งๆ จะมีหัวอ่านเขียนเท่ากับจำนวนแพลตเตอร์พอดี และหัวอ่านเขียนจะมีการเคลื่อนที่เข้าออกพร้อมกัน แต่เมื่อจำทำการอ่าน หรือเขียนข้อมูล ก็จะมีเพียงหัวอ่านเดียวเท่านั้นที่ทำการอ่านหรือเขียนข้อมูล ฮาร์ดดิสก์จะหมุนด้วยความเร็วคงที่ตลอดเวลา เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ต้องการช่วงเวลา ที่แน่นอนในการที่หัวอ่าน-เขียนจะอ่านผ่านแพลตเตอร์แต่ละรอบ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แต่ก็มีข้อเสียคือ ทำให้มีการใช้กระแสไฟฟ้ามาก และหากมีการขยับเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจทำให้หัวอ่าน-เขียนกระทบกับแพลตเตอร์ ได้ซึ่งจะทำให้ข้อมูลที่เก็บอยู่ในตำแหน่งนั้นถูกทำลายลงการคำนวณหา ความจุของฮาร์ดดิสก์สามารถคำนวณได้ โดยดูจากจำนวนแพลตเตอร์ จำนวน Track ซึ่งโดยปกติจะใช้จำนวน Cylinder แทนฮาร์ดดิสก์โดยปกติจะแบ่งให้Cylinder ซึ่งมี 17 Sector แต่ละ Sector มีขนาด 512 byte ถ้ามี 2 แพลตเตอร์ ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ 2 ด้าน แต่ละด้านแบ่งเป็น 305 cylinder ดังนั้น ความจุฮาร์ดดิสก์ = จำนวน Cylinder x จำนวน Sector x จำนวนด้าน x จำนวน byte ใน 1 sector
= 305 cylinder x 17 sector x 4 side x 512 byte
= 10,370 k
= 10 M

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น